เลือกเครื่องชงกาแฟไว้ใช้ที่บ้านให้เหมาะสมกับการใช้งาน งบประมาณ และสไตล์การดื่มกาแฟ เครื่องชงกาแฟมีกี่ประเภท ลักษณะต่าง ๆ ข้อดีและข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนเลือกใช้
.
“กาแฟ” เครื่องดื่มยอดนิยมทั่วโลก โดยเฉพาะในบ้านเรา สังเกตได้จากร้านคาเฟ่ที่เปิดกันมากมายและไลฟ์สไตล์ของหลายคนที่มักดื่มทุกเช้าก่อนออกไปทำงานหรือระหว่างวันเพื่อช่วยกระตุ้นให้สดชื่นผ่อนคลาย สำหรับผู้ชื่นชอบหลงไหลถึงขั้นอยากมีมุมกาแฟไว้ที่บ้าน ก็มีเครื่องชงกาแฟให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่แบบใช้งานง่ายสะดวกสบายแต่ยังได้กลิ่นหอมกาแฟและรสชาติที่ถูกใจ ไปจนถึงเครื่องชงกาแฟแบบมืออาชีพระดับบาริสต้าตัวจริง SCGHOME.COM รวบรวมเครื่องชงกาแฟสำหรับไว้ใช้งานที่บ้าน ซึ่งแบ่งได้เป็น 6 ประเภท ได้แก่ เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล (Capsule/Pod Machine), เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ่ (Espresso Machine), เครื่องชงกาแฟดริป (Drip Coffee Maker), เครื่องชงกาแฟแบบ French Press, เครื่องชงกาแฟแบบ Moka Pot (หม้อต้มกาแฟ) และเครื่องชงกาแฟแบบ Cold Brew
.
ประเภทของเครื่องชงกาแฟ
1. เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล (Capsule/Pod Machine)
เป็นเครื่องชงกาแฟที่ใช้งานร่วมกับ “แคปซูลกาแฟ” หรือ “พ็อดกาแฟ” ซึ่งเป็นกาแฟคั่วบดสูตรต่าง ๆ ที่บรรจุอยู่ในแคปซูลพลาสติกหรืออะลูมิเนียมขนาดเล็ก เครื่องจะเจาะแคปซูลและฉีดน้ำร้อนแรงดันสูงเข้าไป เพื่อสกัดกาแฟออกมาในเวลาไม่กี่วินาที เหมาะกับคนที่อยากดื่มกาแฟเร็ว ๆ ทุกเช้า ไม่ต้องวุ่นวายกับการชง ออฟฟิศหรือบ้านที่มีหลายคนใช้งาน ต้องการความสะอาดและความสะดวก
ข้อดี
๐ ใช้งานง่ายมาก แค่ใส่แคปซูล ปิดฝา และกดปุ่ม รอไม่ถึง 1 นาที
๐ สะอาด ไม่ต้องเทผงกาแฟ ไม่ต้องแทมป์ หรือล้างหัวชงเหมือนเครื่องเอสเปรสโซ่
๐ คุณภาพสม่ำเสมอ เพราะปริมาณกาแฟถูกกำหนดมาพอดีในแต่ละแคปซูล
๐ มีรสชาติหลากหลายให้เลือก เช่น เอสเปรสโซ่ ลาเต้ มอคค่า ฯลฯ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ
ข้อจำกัด
๐ ต้นทุนต่อแก้วสูง ราคาแคปซูลมักอยู่ที่ 15–30 บาท/ชิ้น
๐ จำกัดยี่ห้อกาแฟ บางเครื่องใช้ได้เฉพาะแคปซูลของแบรนด์ตนเอง
๐ ไม่สามารถปรับความเข้ม ปริมาณกาแฟ หรือบดเมล็ดเองได้
๐ มีขยะจากแคปซูล ถึงแม้บางยี่ห้อจะมีโปรแกรมรีไซเคิล
ภาพ: เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล (Capsule/Pod Machine)
.
2. เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ่ (Espresso Machine)
เครื่องชงกาแฟที่สกัดกาแฟด้วยแรงดันสูง (โดยทั่วไปคือ 9 บาร์) ผ่านผงกาแฟบดละเอียด เพื่อให้ได้ “เอสเปรสโซ่” ซึ่งเป็นกาแฟที่เข้มข้น มีกลิ่นหอม และมีครีม่า (ฟองกาแฟสีทองด้านบน) เหมาะกับคนที่จริงจังกับการดื่มกาแฟ ชอบลองเมล็ดกาแฟหลายแบบ อยากชงกาแฟแบบบาริสต้า แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1) เครื่องชงกึ่งอัตโนมัติ (Semi-Automatic) เป็นเครื่องที่ร้านกาแฟเลือกใช้ เพราะสามารถควบคุมการชงได้เองอย่างอิสระ ต้องบดเมล็ดเอง กดกาแฟเอง (แทมป์) และกดปุ่มสกัด
2) เครื่องชงอัตโนมัติ (Fully Automatic) ง่ายและสะดวกมาก เพราะเครื่องจะบดกาแฟ อัด และชงให้โดยอัตโนมัติ เพียงแค่เติมเมล็ด น้ำ และนม แล้วกดปุ่ม
3) เครื่องชงซุปเปอร์อัตโนมัติ (Super Automatic) มีฟังก์ชันทุกอย่างในตัว รวมถึงทำฟองนมอัตโนมัติ เหมาะกับคนที่ต้องการความพรีเมียม มีราคาสูง (ราคาเริ่มต้น 30,000 บาท)
ข้อดี
๐ กาแฟคุณภาพสูง รสชาติเหมือนคาเฟ่
๐ ปรับแต่งรสชาติได้ตามใจ
๐ สามารถใช้กับเมล็ดกาแฟที่คุณชอบได้ทุกยี่ห้อ
๐ ทำฟองนมเองได้ (ลาเต้/คาปูชิโน่)
ข้อจำกัด
๐ ต้องเรียนรู้พื้นฐานการชง (บด–แทมป์–เวลาไหล)
๐ ใช้งานยากกว่าสำหรับมือใหม่ โดยเฉพาะแบบกึ่งอัตโนมัติ
๐ ใช้เวลาในการทำความสะอาด และต้องใส่ใจมากกว่าระบบอื่น
๐ ราคาเครื่องเริ่มต้นที่สูงกว่าระบบอื่น
ภาพ: เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ่ (Espresso Machine)/เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ
.
3. เครื่องชงกาแฟดริป (Drip Coffee Maker)
เป็นอุปกรณ์สำหรับชงกาแฟโดยใช้วิธี “ดริป” หรือ “หยดน้ำร้อนผ่านผงกาแฟ” เพื่อสกัดรสชาติออกมาอย่างช้า ๆ เหมาะสำหรับมือใหม่หัดดื่มกาแฟ ผู้ที่ชอบกาแฟรสชาติละมุน ไม่เข้มจนเกินไป
ข้อดี
๐ ประหยัดเวลา เพราะชงกาแฟดำหลายแก้วในครั้งเดียว
๐ ใช้งานง่าย เพียงใส่น้ำ ผงกาแฟ และกดปุ่ม เครื่องจะทำงานให้อัตโนมัติ
๐ ดูแลง่าย เพียงแค่ล้างโถและที่กรองหลังการใช้งาน
ข้อจำกัด
๐ ไม่สามารถทำเอสเปรสโซหรือนมฟอง
๐ ไม่เหมาะกับคนที่ชอบกาแฟเข้ม
ภาพ: เครื่องชงกาแฟดริป (Drip Coffee Maker)
.
4. เครื่องชงกาแฟแบบ French Press
เป็นอุปกรณ์ชงกาแฟแบบแมนนวล โดยใช้น้ำร้อนเทลงบนผงกาแฟในโถแก้ว (หรือสเตนเลส) ทิ้งไว้ให้กาแฟสกัด แล้วใช้แผ่นกรองโลหะกดลงไป เพื่อแยกกากกาแฟออกจากน้ำกาแฟ เหมาะกับคนที่ชอบกาแฟดำ เข้มข้น ชอบกลิ่นกาแฟธรรมชาติ สายชิลล์/ชงกาแฟตอนเช้า
ข้อดี
๐ ใช้งานง่าย ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า เหมาะกับการใช้งานทุกที่
๐ ได้รสชาติกาแฟเข้มข้น มี Body เต็ม เนื่องจากไม่มีการกรองด้วยกระดาษ (น้ำมันกาแฟยังอยู่)
๐ ราคาประหยัด เครื่องไม่แพง และไม่ต้องใช้กระดาษกรอง
๐ ควบคุมการสกัดได้เอง เช่น เวลาแช่ ปริมาณกาแฟ อุณหภูมิของน้ำ
๐ เหมาะกับกาแฟบดหยาบ ลดความยุ่งยากในการเตรียมกาแฟ
ข้อจำกัด
๐ อาจมีตะกอนจากกากกาแฟ เพราะใช้แผ่นกรองโลหะแบบหยาบ
๐ ต้องใช้ทักษะเล็กน้อย เช่น บดกาแฟให้เหมาะ ควบคุมเวลาและอุณหภูมิ
๐ ต้องล้างเครื่องทุกครั้งหลังใช้ เพราะจะมีกากกาแฟติดอยู่ในก้นโถและแผ่นกรอง
ภาพ: เครื่องชงกาแฟแบบ French Press
.
5. เครื่องชงกาแฟแบบ Moka Pot (หม้อต้มกาแฟ)
หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “หม้อต้มกาแฟอิตาเลียน” เป็นอุปกรณ์ชงกาแฟแบบแรงดันต่ำที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรปและลาตินอเมริกา ใช้หลักการต้มน้ำให้เดือดจนเกิดแรงดันไอน้ำ ดันน้ำผ่านผงกาแฟขึ้นไปยังหม้อบน ทำให้ได้กาแฟที่เข้มข้นกว่ากาแฟดริปหรือ French Press แต่ไม่ถึงขั้นเอสเปรสโซ เหมาะกับคนที่ชอบกาแฟเข้มในราคาประหยัด
ข้อดี
๐ ให้กาแฟสไตล์เข้มคล้ายเอสเปรสโซโดยไม่ใช้ไฟฟ้า
๐ ราคาย่อมเยา
ข้อจำกัด
๐ ใช้งานยุ่งยากเล็กน้อย เพราะต้องใช้เตาในการต้ม
ภาพ: เครื่องชงกาแฟแบบ Moka Pot (หม้อต้มกาแฟ)
.
6. เครื่องชงกาแฟแบบ Cold Brew
เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อชงกาแฟเย็นโดยเฉพาะ โดยการแช่กาแฟบดหยาบในน้ำเย็นเป็นเวลานาน (ประมาณ 8–24 ชั่วโมง) แทนการใช้น้ำร้อนแบบทั่วไป หลังครบเวลาให้เทแยกน้ำกาแฟออกจากกาก (บางรุ่นมีตัวกรองในตัว) เก็บไว้ในตู้เย็น ดื่มแบบเย็น หรือจะนำไปผสมกับนม น้ำเชื่อม หรือโซดาก็ได้ เหมาะกับผู้ที่ชอบกาแฟเย็นแบบกลมกล่อม ไม่ขม ไม่เปรี้ยว และอยากชงไว้ดื่มหลายวัน
ข้อดี
๐ รสชาตินุ่มนวล กลมกล่อม ไม่ขม ไม่เปรี้ยว
๐ มีกรดต่ำ ดื่มง่าย ไม่ระคายกระเพาะ
๐ ชงครั้งเดียว เก็บไว้ในตู้เย็นดื่มได้หลายวัน (3–5 วัน)
ข้อจำกัด
๐ ใช้เวลาในการชงนานมาก (ต้องรอหลายชั่วโมง)
๐ เหมาะกับการดื่มเย็น ไม่เหมาะถ้าชอบดื่มร้อน
๐ ต้องใช้น้ำสะอาด เพราะไม่มีการต้มฆ่าเชื้อ
ภาพ: เครื่องชงกาแฟแบบ Cold Brew
.
สรุปความแตกต่างของเครื่องชงกาแฟ
เครื่องชงกาแฟสำหรับไว้ใช้งานที่บ้าน ทั้ง 6 ประเภท มีความแตกต่างกันที่น่าสนใจ ดังนี้
.
สรุปคือ หากเน้นความสะดวกสบายไม่ยุ่งยาก แนะนำให้ใช้เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล (Capsule/Pod Machine) แต่หากต้องการรสชาติกาแฟเข้มข้น ทำลาเต้/คาปูชิโนได้ แนะนำให้ใช้เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ (Espresso Machine) หากงบไม่มาก แต่ชอบชงเองแบบง่าย ๆ แนะนำให้ใช้เครื่องชงกาแฟ Drip หรือ French Press หรือ Moka Pot ก็ได้ และหากชอบดื่มเย็น รสนุ่ม ไม่ขม ไม่เปรี้ยว แนะนำให้ใช้เครื่องชงกาแฟแบบ Cold Brew
.
นอกจากเครื่องชงกาแฟทั้ง 6 แบบที่เหมาะสำหรับใช้งานในบ้านหรือมือใหม่หัดชงก็ใช้ได้แล้ว ยังมีเครื่องชงกาแฟแบบ Siphonหรือบางคนเรียกว่า vacuum coffee brewer เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบทดลองปรับสูตรเอง เพราะมีเอกลักษณ์ในวิธีชงที่ให้บรรยากาศเหมือนทดลองวิทยาศาสตร์ แต่จะได้กาแฟที่สะอาด นุ่ม และโดดเด่นเรื่องกลิ่น (aromatic intensity) ข้อจำกัดคือค่อนข้างซับซ้อน ต้องควบคุมอุณหภูมิและเวลาอย่างละเอียด เครื่องมีความบอบบางโดยเฉพาะถ้วยแก้วด้านบน และใช้เวลาในการชง 5-10 นาที จึงไม่แนะนำสำหรับมือใหม่
ภาพ: เครื่องชงกาแฟแบบ Siphon
.
.
.
อ่านเพิ่มเติม: WORK FROM HOME จัดพื้นที่ยังไงให้เวิร์ค
อ่านเพิ่มเติม: วิธีจัดห้องครัวขนาดเล็ก กับ 4 ฟังก์ชั่นครบในพื้นที่จำกัด